วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว?

 โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

25 กุมภาพันธ์ 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การนำของ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แถลงข่าวผลการตรวจสอบรถโบราณที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งตามสมุดทะเบียนรถปรากฏชื่อท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จวัดปากน้ำหรือ “สมเด็จช่วง” เป็นผู้ครอบครอง โดยแถลงกล่าวหาว่าเป็นรถที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ

ผมติดตามข่าวนี้อย่างละเอียด เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างคล้ายกับการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองยังไงยังงั้น ถ้าพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมาจะเห็นการสมคบคิดของกลุ่มคนดีกลุ่มเดิมที่เตรียมการล่วงหน้าและแบ่งหน้าที่กันมาเป็นอย่างดี ตัวละครที่ออกมาเล่นก็ล้วนเป็นนักแสดงหน้าเก่าทั้งสิ้น

การกระทำทั้งหมดมุ่งไปที่จุดเดียวกันคือ สร้างสถานการณ์บิดเบือนป้ายสีให้ประชาชนเชื่อว่า “สมเด็จช่วง” ต้องมลทินและมีความมัวหมอง โดยใช้เรื่องรถโบราณเป็นเครื่องมือในการสร้างข่าว พยายามใช้ตรรกะและความเชื่อมโยงแบบคลุมเครือเพื่อให้ดูเหมือนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายที่เกิดขึ้น ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นเพียงรถ หนึ่งในหลายพันหลายหมื่นอย่างที่ลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนถวายให้ท่าน และได้มอบให้ทางวัดนำไปตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์เหมือนของถวายมีค่าชิ้นอื่นๆ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังและผู้สนใจใช้ศึกษาหาความรู้กันต่อไป โดยไม่ได้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย

ผมไม่ปฏิเสธหลักฐานต่างๆที่ดีเอสไอแถลง และอยากเห็นการดำเนินการเรื่องนี้จนถึงที่สุด แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่รวมถึงผมยังติดใจว่าทำไมดีเอสไอถึงเลือกเอารถโบราณวัดปากน้ำที่แจ้งยุติการใช้รถตลอดไปตามทะเบียนรถตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2556 เป็นเป้าหมายพิเศษในการตรวจสอบ ทั้งที่มีรถยนต์เข้าข่ายและยังวิ่งใช้งานอยู่ตามท้องถนนมากถึง 6,000 คัน

ผมติดใจการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนบางกลุ่มบางพวกที่ใช้คำศัพท์เรียกรถโบราณที่ผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 ซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปีว่า “รถหรู” ทั้งที่รถหรูเป็นคำประสมหมายถึงรถยนต์นำเข้าที่มีราคาแพง มีรูปทรงเด่นเฉพาะ มีการผลิตจำนวนน้อยหรือผลิตตามสั่ง เครื่องยนต์มีกำลังแรง และที่สำคัญนำเข้ามาในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีสูงถึง 300% เพราะฉะนั้นการเลือกใช้คำว่า “หรู” จึงเป็นการใช้คำศัพท์ที่ผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริง ทำให้เชื่อได้ว่ามีกระบวนการจัดตั้งที่มีความประสงค์จะทำให้สาธารณชนส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจผิด และทำให้ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จต้องมีมลทินและถูกเกลียดชังจากประชาชนที่เสพข่าวที่ไม่ถูกต้อง

ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า หลังจากการนำเสนอข่าว ผมพบว่าในโลกโซเชียลมีคนจำนวนมากเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและสับสนข้อมูลที่ได้รับ บางคนถึงกับเข้าใจเลยเถิดไปว่าเป็นรถที่ใช้เป็นพาหนะประจำตัวด้วยซ้ำ และเมื่อมีการประโคมข่าวรถหรูอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางร้ายว่าท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จรู้เห็นกับการรับถวายที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

ผมนำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟังเพราะคิดว่าเป็นอีกเรื่องที่ไม่มีความยุติธรรม ผมเห็นฆราวาสจำนวนมากเขียนถึงท่านเสียๆหายๆ บางคนถึงกับด่าว่าด้วยคำหยาบคาย บางคนบังอาจสั่งสอนท่านและกล่าวถึงท่านด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ วันนี้อะไรกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ทำไมคนเราถึงเห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ความจริงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ทราบกันได้ไม่ยาก

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์แห่งวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ บวชเรียนมาถึง 77 พรรษา และปีนี้ท่านมีอายุถึง 91 พรรษา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีในหมู่สงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และตลอดชีวิตที่อยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ท่านเป็นผู้ให้มาโดยตลอด


ในวงการสงฆ์ต่างรู้ดีว่าสิ่งก่อสร้างกว่า 80% ในพุทธมณฑลนั้นถูกดำเนินการจนสำเร็จเพราะการสนับสนุนของท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จได้บริจาคปัจจัยสมทบทุนต่างๆในบวรพุทธศาสนามากมาย ใครจะมาขอหรือไม่ ท่านก็มีแต่ความยินดีที่จะให้โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร ดังนั้น วัดวาอารามต่างๆทั้งในและต่างประเทศจึงคุ้นเคยกับการให้ของท่านเป็นอย่างดี นอกจากนั้นท่านยังบริจาคปัจจัยเพื่อนำไปสมทบทุนก่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ สิ่งที่ท่านมอบให้กับสังคมมีมากมายและเป็นที่ประจักษ์ แม้ท่านจะมีลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนที่บริจาคสิ่งของและปัจจัยอย่างมากมาย ท่านไม่เคยคิดที่จะเก็บไว้เป็นของส่วนตัว แต่นำกลับไปทำนุบำรุงศาสนาตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ลืมที่จะให้ทานกลับมาให้ทางโลกด้วยเช่นกัน

ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จปฏิบัติศาสนกิจแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด นอกจากการให้ทานแล้วยังให้ความรู้แก่สงฆ์และฆราวาสมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสมณศักดิ์ของท่านจะสูงขึ้นเท่าไรก็ตาม แต่วัตรปฏิบัติของท่านก็ไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งเป็นที่รับรู้ในวงการสงฆ์โดยทั่วไป

ดังนั้น จากจริยวัตรที่งดงามและท่านยังเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีสมณศักดิ์สูงสุด กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปจึงมีมติเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อท่าน ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราชองค์ต่อไปของกรุงรัตนโกสินทร์ มติของมหาเถรสมาคมเป็นเอกฉันท์ทั้งมหานิกายและธรรมยุตเช่นนี้ ย่อมยืนยันให้พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศได้มั่นใจว่าในสังฆมณฑลของเราไม่มีความแตกแยกแต่อย่างใด

ผมมั่นใจว่า ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จให้อภัยกับกลุ่มบุคคลที่สมคบคิดและป้ายสีท่านเพื่อให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นข้ออ้างที่จะชะลอการเสนอชื่อท่าน แต่ผมอยากจะเตือนกลุ่มบุคคลและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคนด้วยจิตที่เป็นกุศลว่า วิธีการที่ท่านสมคบคิดกันเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการตั้งสังฆราชครั้งนี้เป็นบาปใหญ่จริงๆ และผมเชื่อว่าคงอยู่ทันได้เห็นผลลัพธ์การสร้างบาปใหญ่ครั้งนี้อย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก http://www.lokwannee.com/web2013/?p=204510

ไม่มีความคิดเห็น: