วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พุทธอิสระ..เป็นพระสงฆ์...ใช่หรือไม่???

ปาราชิก โทษประหารชีวิตความเป็นพระ : ใช่ว่าใครก็จะโจทย์ส่งเดชได้ง่าย.
........
"กรรม ประกอบด้วยเจตนา"
......
ในโพสต์ครั้งก่อนข้อ "เจ้าคุณเบอร์ลิน กางวินัย ถกอาบัติกับพุทธอิสระ" ไปรอบที่หนึ่ง
ปรากฏว่า ได้อานิสงส์ทันตา คือ
พุทธอิสระ ถวายคดีหมิ่น มาให้คราวเดียวกับที่แก ไปแจ้งจับ มส. ม. 157 ข้อละเว้น กรณีธัมมชโย.
..........
มาครั้งนี้
ด้วยยึดกุศลเจตนาเป็นที่ตั้ง
ผมก็จะชวนแกมาฟังเรื่อง "ปาราชิก ของจริงของแท้บ้าง"
หลังที่แกนำศิษย์หลงทางมาทั้งชีวิตเกิด
ส่วนเมื่อฟังเสร็จแกจะถวายคดีหรืออะไรผมมาอีก
ก็เรื่องของแกครับ แต่ถ้า
"โจรเอาของมาถวาย ผมไม่รับนะครับ เดียวโดนข้อหารับของโจร
ข่าวว่า คดีแกเพรียบเลย บางคดีตัดสินไปแล้ว อายุความก็มีอยู่ด้วย"
เมื่อวันที่แกไปนั่งหน้าตำรวจนั้น ข่าวว่า
"ตำรวจอาจจะโดน ม. 157 ด้วย เพราะเจอผู้ต้องหาแล้วไม่จับกุม"
........
มาครับท่านผู้แสวงหาความรู้ทั้งหลาย
เชิญมาเอาสาระ คติธรรมกับเรื่อง "อาบัติพระ" 
ข้อปาราชิกกันต่อดีกว่าครับ
ส่วนโต้รายวันนั้น ผมว่าชักไร้สาระแล้วครับ
ใครจะออกข่าวว่า
"จะแจ้ง จะร้อง มส. ที่นั่นที่นี่ ก็ปล่อยให้มันเซ่อจนตายไปเถอะครับ
โปรดไม่ขึ้น ก็ปล่อยมันบ้าไป".
เมื่อวานเห็นว่า มีระดับ ศ. ดร. กฏหมาย อดีตคณะบดี มธ. จะชวนพวกมิฉาทิฏฐิไปร้องศาลปกครองว่า
"บอกชาวบ้านว่า มส. ตัดสินเรื่องวินัยของพระครั้งนี้ไม่ถูกต้อง
แต่ดันผ่ากล่าวหาว่าอาจผิดกฏหมายอาญา จะฟ้องศาลปกครองไปโน่น" เอาเลยครับอย่าช้า
คิดได้ไงเนี๊ยะ ดร. ม. บีช France
ไปร้องเร็ว ๆ นะครับ
คงได้ฮากลั่น มธ. แน่ ตาย ๆๆๆ.
.......

สาระ
"กรณีตัดสินให้พระเป็นปาราชิก"
- เรื่องอาบัติพระนั้น
มีความละเอียดอ่อน มีแง่มุมมาก แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำความเข้าใจ.
......
- วันนี้คนพูดถึงอาบัติพระกันมาก
ถูกบ้าง ผิดบ้าง พูดเอามัน เอาสะใจเข้าว่าบ้าง ออกทะเลบ้าง
โดยไม่คำนึงถึงว่า จะสร้างความเสียหายแก่พระศาสนากันเลย.
......
- แต่ถ้ามองอีกด้าน ก็เป็นเรื่องดีครับ
เพราะเป็นโอกาสแห่งการแสวงปัญญา เพื่อเสริมภูมิกันของชาวพุทธ
จะได้รู้ได้เข้าเรื่องนี้กัน ก็คราวนี้แหละ.
.....
ตามมาเรื่อย ๆ ครับ
"เรื่องการเป็นอาบัติ"
- กรณีหากพระภิกษุ ทำผิดพระวินัยข้อใดข้อหนึ่ง ในจำนวนพระวินัย 227 ข้อ ก็จะเป็นอาบัติทันที
ในทันทีที่กระทำ
เมื่อรู้ตัวแล้ว สำนึกผิด
ก็ออกจากอาบัติตามวิธีที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดโทษไว้.
.......
"ลำดับอาบัติพระ"
- ปาราชิก เป็นอาบัติที่มีโทษอย่างหนัก เป็นพระ ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ
- โทษอย่างกลาง เป็นสังฆาทิเสส ต้องเข้ากรรมจึงจะพ้น
-โทษอย่างเบา ต้องแสดงคืนอาบัติ.
........
"กระบวนการตัดสินทางสงฆ์"
- ในกรณีที่ภิกษุรูปใด
ถูกโจทก์ว่าเป็นอาบัติ อาจต้องด้วยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ ต้องด้วยดื้อด้าน แต่ยังฟืนทำลง หรือต้องด้วยถูกใส่ความ
ซึ่งขึ้นอยู่กับกรณี
ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับอาบัติ คือ กระบวนการตัดสินคดีความทางสงฆ์
ซึ่งไม่ใช่ถูกโจทก์แล้วก็จะเป็นอาบัติเลย
โดยเกี่ยวข้องกัน 3 ส่วน คือ
1. อาบัติ ที่ถูกโจทก์ 
2. ผู้โจทก์
3. องค์คณะพระวินัยธรผู้วินิจฉัยอธิกรณ์.
.........
- ในการตัดสินอธิกรณ์ นั้น
ผู้โจทก์ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ตัดสินผู้ถูกโจทก์ว่า เป็นอาบัติหรือไม่
ทั้งไม่มีสิทธิ์ชี้นำ
ผู้โจทก์มีหน้าที่ในการโจทก์
ไม่ใช่ผู้ตัดสิน
แต่การตัดสิน เป็นหน้าที่ของพระวินัยธร ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์
ซึ่งสงฆ์มอบหมาย เรียกว่า "การกสงฆ์" (กา - รก)
- แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงก็ใช้วิธีเดียวกันนี้
ตรงนี้อย่าหลงประเด็นนะครับ
อย่า ไปตามกระแสที่ชั่ว พระชั่ว มันพยายามชักนำ แล้ววางกับดักไว้ให้เชื่อตาม เพื่อจุดประสงค์ของพวกมัน.
......
ตรงนี้ขอแทรกว่า
ในกรณีพระลิขิต (ที่เรียกกัน)
จึงไม่ใช่ "คำตัดสิน"
พระลิขิตมีสถานะเป็นเพียงผู้โจทก์ ตามพระธรรมวินัย เท่านั้น.
- หากผู้โจทก์ เป็นผู้ตัดสินเองเสียด้วยแล้ว
ก็จะผิดทั้งธรรมวินัย กฏหมาย และกฏมหาเถรสมาคมเสียเอง
นี่ไม่นับเรื่อง "นานาสังวาส".
ถ้าอย่างนี้ผู้ถูกโจทก์ ก็มีแต่ตายกับตายซีครับ.
..........
"ยกตัวอย่าง"
- กรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชผู้โจทก์ พระธัมมชโย (อ้างตามพระลิขิต) ว่า
เป็นอาบัติปาราชิก เพราะเอาที่ดินวัดมาเป็นของตน
เฉพาะเพียงแค่ยึดพระลิขิตโจทก์เท่านี้
ก็มาตัดสินว่า พระธัมมชโย เป็นปาราชิกเสียแล้ว
ก็เป็นการไม่ให้ความเป็นธรรม แก่ผู้ถูกโจทย์ ผิดหลักธรรมวินัย
ทั้งไม่เปิดโอกาสให้พระธัมมชโยได้แก้ต่าง ด้วยวิธีวินิจฉัยอธิกรณ์ ตามหลักพระธรรมวินัย.
.....
- ในกรณีนี้ ท่าน (พุทธเจ้า)
จึงมีศาลสงฆ์ไว้ให้ต่อสู้คดี หรือต่อสู้อธิกรณ์ที่ถูกฟ้อง
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย.
...
- ตรรกะเดียวกัน อีกตัวอย่างหากผมเจ้าคุณเบอร์ลินโจทก์พุทธอิสระว่า
"พุทธอิสระข่มขู่กรรโชกทรัพย์เขาที่โรงแรม แล้วได้มา
เช่นนั้น พุทธอิสระก็ต้องเป็นอาบัติปาราชิก ไปแล้ว ใช่ไหม". 
....
- กรณีนี้ ขอถามชาวพุทธทั่วประเทศ ที่มีใจเป็นธรรรมดังๆ ว่า
พุทธอิสระ เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ใช่หรือไม่.
.....
พุทธอิสระ

- ขอให้ช่วยกันตอบจากความยุติธรรมในหัวใจ
อย่าตอบจากความอยุติธรรมที่มีอคติ
และขอให้ซื่อสัตย์ต่อพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ด้วย.
....
- เพราะหากพิจารณาตามตรรกะนี้ พุทธอิสระ ก็ขาดจากพระเสียไปแล้ว
ถามว่า ขาดจากความเป็นพระเพราะเหตุไร
มาดูคำตอบครับ
ก็เพราะว่า สิ่งที่พุทธอิสระกระทำครบ "อวหาร" คือ อาการ 5 อย่าง
เหตุแห่งการตัดสิน "ปาราชิก" ชัดเจน คือ
1. เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหน
2.ตัวพุทธอิสระเองก็รู้ว่าเขาหวงแหน
3.เงินนั้นเกินราคา 5 มาสก
4.พุทธอิสระมีจิตคิดจะกรรโชกเอาเงินนั้นมาจากเจ้าของ
5. เงินนั้นเคลื่อนจากฐานเดิมมาถูกมือพุทธอิสระ
หากวิเคราะห์อวหาร 5 แห่งปาราชิก ในกรณี ที่ พุทธอิสระอาจเข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์ครั้งนี้
ชัด ๆ คือ
- เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหน
- แม้ตัวพุทธอิสระเอง ก็รู้ว่าเขาหวงแหน
แต่เขาจำเป็นต้องยื่นออกไปให้พุทธอิสระ
ก็ด้วยความเกรงกลัวต่อชีวิตและทรัพย์ส่วนอื่นๆ จะเสียหาย
- เงินนั้นเกินราคา 5 มาสก คิดราคาขณะทำผิดเท่ากับทองคำหนัก 1 บาท
- กรณีพุทธอิสระมีจิตเป็น "สจิตตกะ" คิดจะกรรโชกเอาเงินนั้นมาจากเจ้าของ.
.....
- ชัดเจนอีกส่วน หาก พิจารณาโดยอำนาจหน้าที่
พุทธอิสระไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรที่โรงแรมแห่งนั้น
ไม่ว่าทั้งทางพระธรรมวินัย และทางกฎหมาย
จึงเป็นเหตุเชื่อได้ว่า พุทธอิสระมีจิตเป็น "สจิตตกะ" อันเป็นอวหารที่สำคัญแห่งองค์ปาราชิก
แล้วเงินนั้น ก็เคลื่อนจากฐานเดิมมาถูกมือพุทธอิสระ แถมนับเพลินออกยูทูปเรียบร้อย.
...
- พฤติกรรมทั้งหมดนี้
ครบอวหาร 5 ประการ แห่งปาราชิก อย่าง สมบูรณ์ บริบูรณ์ ไม่ขาดแม้แต่ข้อเดียวเลยครับ
- กรณีโทษแห่งอาบัติ 
พุทธอิสระ จึงขาดความเป็นพระทันที เน้นว่า "ทันที"
โดยไม่ต้องรอพระวินัยธรตัดสินอธิกรณ์.
......
- ดังนั้น ในวันนี้ เมื่อเจ้าคุณเบอร์ลิน ตัดสินไปเช่นนี้
ดังแถลงแจ่มแจ้งมาดังนี้แล้ว
สมมติ พุทธอิสระ แน่จริงดังคุย
ก็ต้องท้าว่า หากเห็นว่าเป็นปาราชิก ก็ฟ้องได้เลย
ไปแจ้งความได้เลย
หากไม่ฟ้อง พุทธอิสระจะไปฟ้องหมิ่นประมาท (อีกแล้วครับท่าน)
โทษฐานที่ เจ้าคุณเบอร์ลิน ทำให้อับอายขายหน้า (ไอ้นี่ชอบรักษาหน้า)
ก็เชิญนะครับ มีคนแนะขนาดนี้ ไม่ขอบคุณก็เกินคนแล้วละ.
......
- ผมว่า ตัวพุทธอิสระนั้น แกก็ไม่โง่นักหรอก น่าจะเป็นผู้ฉลาดในพระวินัยบ้าง
คือถึงยังไงก็รู้ว่า ตนเป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว
มันไม่ต้องรอให้ใครฟ้อง นับแต่มือแตะต้องเงินที่กรรโชกมา
เงินก็ได้เคลื่อนจากฐานเดิม
ตรงนี้ก็ปาราชิกแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครฟ้อง
จริงไหมครับ "แมวแห่งแจ้งวัฒนะ".
.......
- ทีนี้ สมมติ พุทธอิสระ เกิดหัวแมว
ไม่ยอมรับว่า ตัวเองเป็นอาบัติปาราชิกแล้ว ไม่ได้เป็นพระแล้ว
หรือดื้อด้านแกล้งทำเป็นดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
กลบเกลื่อนด้วย "ทุมมังกุวิธี" คือ วิธีของพระเก้อยาก (อ่านว่า พระ-เก้อ-ยาก)
หรือ วิธีของพระหน้าด้าน, พระหน้าหนา, พระไม่มียางอาย.
...
จะทำอย่างไรกันละ
มีวิธีครับ ไม่ยาก
- พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้แจ้งโลก มีความเป็นธรรม
รู้ว่ามนุษย์นี้มากเล่ห์เพทุบาย ลางทีอาจมีคนใส่ความ ใส่ร้ายป้ายสีกัน
พระองค์ จึงทรงให้มีพระวินัยธรผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ มาตัดสิน
พูดง่ายๆ ให้มีศาลสงฆ์คอยตัดสินคดีความที่เกิดขึ้นในพระศาสนาของพระองค์
- ไม่ใช่ตัดสินคนเดียว ต้องตัดสินเป็นองค์คณะพระวินัยธร.
.....
- เมื่อศาลสงฆ์ ซึ่งทำหน้าที่แทนสงฆ์ตัดสินไปแล้ว
ก็ให้ถือเป็นที่สิ้นสุด ยุติ ห้ามรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีก
เพราะจะวุ่นวายไม่จบสิ้น
พระศาสนาก็จะบอบช้ำ 
เป็นที่เอือมระอาแก่หมู่คณะ
สั่นคลอนศรัทธาของพุทธบริษัท.
.....
มติ มส. 10.02.2016
- ทีนี้มาเรื่องที่ มส. ท่านยืนตามศาลสงฆ์
ไม่ปรับอาบัติปาราชิกแก่ธัมมชโย
นั่นก็เพราะ มส ชุดนี้ ท่านไม่มีหน้าที่ไปรื้อฟื้นคดี
ที่ มส. ชุดเก่าระงับอธิกรณ์ไปแล้ว เสร็จสิ้นแล้ว
ตามธรรม ตามวินัย ครบไปแล้ว
- หากรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ มส. ทั้งหมด ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์เสียเอง
โทษฐานละเมิดข้อบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ .
....
- ส่วนสาเหตุที่ท่าน ไม่ปรับอาบัติปาราชิกพระธัมมชโยกรณีที่ดิน (ต้องย้ำว่า กรณีที่ดิน)
ก็เพราะไม่ครบองค์อวหาร" คือ อาการ 5 อย่าง แห่งการตัดสินปาราชิก คือ
1. ที่ดินนั้นเจ้าของเขาถวายวัด
2. พระธัมมชโยในฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัด ก็รู้ว่าเขาถวายวัด
3.ที่ดินนั้นตีราคาเกิน 5 มาสก
4. พระธัมมชโยไม่มีจิตคิดจะลัก(ไม่มีเถยยจิต) เพราะถือวิสาสะว่า ตนเป็นเจ้าอาวาส มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
5. ที่ดินนั้นก็ยังอยู่ครบตามที่เขาถวาย ไม่ได้ถูกจำหน่ายจ่ายแจกออกไปจากศาสนา หรือผิดวัตถุประสงค์ทายกผู้บริจาค.
.....
"วิเคราะห์องค์ อวหาร 5 อย่างแห่งปาราชิก ของพระธัมมชโย"
- ที่ดินนั้นเจ้าของเขาถวายวัด พระธัมมชโยในฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัด
ก็รู้ว่าเขาถวายวัด
ที่ดินนั้นตีราคาเกิน 5 มาสก
พระธัมมชโยไม่มีจิตคิดจะลัก (ไม่มีเถยยจิต)
เพราะถือวิสาสะว่า ตนเป็นเจ้าอาวาส
ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งทางพระธรรมวินัยและกฏหมาย
การเซ็นรับที่ดิน เป็นอำนาจหน้าที่เจ้าอาวาส จึงจะสมบูรณ์ ( คือ พระลูกวัดรับแทนไม่ได้ เว้นแต่กรณีที่เจ้าอาวาสมอบหมาย)
สุดท้ายที่ดินนั้น ก็ยังอยู่ครบตามที่เขาถวาย ไม่ได้ถูกจำหน่ายจ่ายแจกไปที่ไหน.
- พูดง่ายๆ เมื่อเขาถวายที่ดินให้วัด วัดเซ็นรับที่ดินเองไม่ได้
เพราะตัววัดไม่มีชีวิต
ก็ต้องให้เจ้าอาวาส (เจ้าหน้าที่) ก็ต้องเซ็นรับ ในฐานะเป็นนิติบุคคล ทำการแทนวัด.
.....
- ตรงนี้แหละที่ผมเคยเคยบอก DSI ไปนานแล้วว่า
"ถ้าระบุว่าผู้เซ็นเป็นในนามเจ้าอาวาส ก็รีบขึ้นรถกลับ สนง.ทันที"
เริ่มหายมึนยังครับ.
.....
จบไหม
- เกิดปัญญามัยครับชาวพุทธไทย ฟังผมแจงมา
แจ้งชัดแดงแจ๋แบบนี้
ผมว่าอย่าปล่อยให้พุทธอิสระหลอกตีกินอีกเลย จบ ๆ กันสักที
เวรกรรมมันกำลังจะตามทันตาเห็น จะต้องประสบหายนะถึงความฉิบหาย 10 ประการ (ตามโพสต์ที่แล้ว) เร็ว ๆ นี้แหละ
ตอนนึ้สังคมก็เริ่มรุกให้ไม่มีที่ยืนทุกวัน ๆ แล้ว.
......
- เห็นมัยละครับว่า มส. ท่านเที่ยงตรงต่อพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักอย่างไร
ท่านกล้าในพระธรรมวินัยอย่างไร.
......
- ตอนนึ้ ก็ยังเหลือก็แต่พุทธอิสระนั่นแหละ ว่าจะเอาไงกับชีวิตตนเองดี
หากยัง เป็น "ทุมมังกุภิกษุ" แอบเอาจีวรพระมาห่อกาย แม้ไม่รู้สึกละอายต่อบาปกรรมที่ทำลงไป ไม่รู้สึกละอายต่อตัวเอง
ก็ขอให้ละอายต่อผ้าเหลืองธงชัยอรหันต์ที่เอาห่อหุ้มกายตนเองบ้างเถอะครับ
ถึงเวลานั้น ผู้คนเขาก็คงอโหสิกรรมให้บ้างแหละครับ.
- แต่ตอนนี้ ผมจะบอกให้เอาบุญว่า..
"คนในประเทศไทยเกิน 60 ล้านคน เขามีแต่สาบแช่งคุณ และพวก "เข้าพวก" กันทุกวินาทีนะครับ"
ดีหรือ ถูกหรือ เจริญหรือ แบบนี้
ไม่เชื่อลองเดินไปไหนคนเดียวดูซิ กล้าเปล่า.
........
- ขอให้มีความแจ่มแจ้งในพุทธธรรมทุกท่านนะครับ
จบ จบ และจบ (ก่อน)
โพสต์ "อนันตริยกรรม" มีเสียวครับ
โชคดีมีชัยทุกท่านครับ.
เจ้าคุณเบอร์ลิน
14.02.2016