วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ธรรมกายขายบุญ??

เคยได้ยินกันไหมว่า วัดพระธรรรมกาย “ขายบุญ” แล้วคุณเคยถูกขายบุญ และซื้อบุญบ้างหรือเปล่า??


อยากแบ่งปันเรื่องราวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเอง
มีน้องที่รู้จักคนหนึ่ง เป็นสาวธนาคารมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเนื่องจากส่วนตัวก็ชอบงานด้านค้าขายอยู่เป็นทุนเดิม เลยตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ทำงานอดิเรกประกอบอาชีพเสริมด้วยการเป็นพนักงาน part time ของบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง

น้องเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ทำมาหลายปี ปีนี้ได้เงินจากบริษัทขายตรงเกือบแสนแสน แต่รายได้หลักก็ยังคงมาจากการเป็นสาวธนาคารนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ เวลาเจอน้องคนนี้ทีไร ด้วยวิญญาณของนักขาย และความปรารถนาดี น้องมักจะแนะนำให้เราซื้ออาหารเสริมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทขายตรงที่เธอทำงาน ด้วยเธอเองก็มีศรัทธาในตัวผลิตภัณฑ์จากคำบอกเล่าและตัวอย่างจากผู้บริโภคหลายต่อหลายราย รวมไปถึงการซื้อเอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ที่แก่ชราและเจ็บป่วยได้ทานกัน ส่งผลให้สุขภาพของบุพการีทั้งสองท่านแข็งแรงขึ้นแล้วก็ยังปลื้มอกปลื้มใจในความเป็นลูกกตัญญูของเธอ นอกจากนั้นเธอยังเป็นเสาหลักของบ้าน โดยการนำรายได้ที่เกิดความเพียรของเธอนั้นมาช่วยผ่อนบ้านผ่อนรถให้คุณพ่อคุณแม่อีกด้วย

ตัวเธอเองเมื่อเห็นผลดีจากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็มาแนะนำเราทดลองใช้ดู  แต่เราก็ไม่เคยสนใจสักที เพราะรู้สึกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้ของเรา
แม้กระนั้น เธอก็ยังอุตส่าห์นำผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมาให้ได้ใช้ฟรีๆ ทำให้สัมผัสได้ถึงความรักและปรารถนาดีของเธอที่มีให้กัน น้องไม่ได้หวังอะไรจากเรา เราทั้งสองรู้จักกันดีเกินกว่าที่จะตั้งใจมาหากำไรจากการขายสินค้าให้แก่กันและกัน...

นึกถึงคำที่หลายๆ คนพูดว่า วัดพระธรรมกาย “ขายบุญ” หรือ “ขายตรง” ก็คงเหมือนกับที่น้องพยายามเอาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพนั้นมาให้ พอนึกเทียบเคียงดูก็คล้ายกันมาก

ด้วยความรักความกตัญญูของน้องที่ฉายออกมาเป็นภาพที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนที่พบเห็น เธอมีความสุขและเป็นที่รักของทุกคน ทั้งคนในครอบครัวรวมไปถึงเพื่อนรอบข้าง ธุรกิจและจิตใจของเธอจึงไปด้วยกันอย่างไม่สะดุด เพราะด้วยความปรารถนาดีจริงๆ  ที่มีแก่คนอื่นไม่ว่าทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ โดยพื้นฐานของความเป็นผู้ให้ ใจกว้างและรักเพื่อนมนุษย์

หลายคนที่เคยถูกคนวัดหรือผู้ที่มาวัดอยู่เป็นประจำ บอกบุญ ชวนทำบุญ ทั้งทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ก็เป็นเพราะว่า คนมาชวนนั้นมีจิตที่ปรารถนาดี เนื่องจากประจักษ์กับผลแห่งบุญนั้นๆ ด้วยตัวเอง เลยอยากที่จะบอกต่อ ก็เท่านั้น
ส่วนใครจะทำหรือไม่ทำ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะคนที่มาบอกบุญก็ได้บุญในส่วนที่ได้แจ้งข่าวไปแล้ว ถ้าใครทำเขาก็ได้บุญไปด้วยอีกคำรบหนึ่ง เพราะทุกคนที่ได้มาวัด ได้เรียนรู้หลักของพระพุทธศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเทศน์สอนอยู่ตลอด เราก็เลยสร้างความดีด้วยการทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมกันอย่างสุดชีวิต

สิ่งเหล่านี้ในสายตาของคนทั่วไปที่มองเข้ามาในวัดพระธรรมกายคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คงต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองจึงจะเห็นผล ดังความหมายของธรรมคุณข้อหนึ่งที่ว่า “เอหิปัสสิโก” ขอเชิญท่านมาพิสูจน์ด้วยตัวเองเถิด....


พระธัมมชโยปาราชิก?

ปาราชิก โทษประหารชีวิตความเป็นพระ : ใช่ว่าใครก็จะโจทย์ส่งเดชได้ง่าย.
........
"กรรม ประกอบด้วยเจตนา"
......
ในโพสต์ครั้งก่อนข้อ "เจ้าคุณเบอร์ลิน กางวินัย ถกอาบัติกับพุทธอิสระ" ไปรอบที่หนึ่ง
ปรากฏว่า ได้อานิสงส์ทันตา คือ
พุทธอิสระ ถวายคดีหมิ่น มาให้คราวเดียวกับที่แก ไปแจ้งจับ มส. ม. 157 ข้อละเว้น กรณีธัมมชโย.
..........
มาครั้งนี้
ด้วยยึดกุศลเจตนาเป็นที่ตั้ง
ผมก็จะชวนแกมาฟังเรื่อง "ปาราชิก ของจริงของแท้บ้าง"
หลังที่แกนำศิษย์หลงทางมาทั้งชีวิตเกิด
ส่วนเมื่อฟังเสร็จแกจะถวายคดีหรืออะไรผมมาอีก
ก็เรื่องของแกครับ แต่ถ้า
"โจรเอาของมาถวาย ผมไม่รับนะครับ เดียวโดนข้อหารับของโจร
ข่าวว่า คดีแกเพรียบเลย บางคดีตัดสินไปแล้ว อายุความก็มีอยู่ด้วย"
เมื่อวันที่แกไปนั่งหน้าตำรวจนั้น ข่าวว่า
"ตำรวจอาจจะโดน ม. 157 ด้วย เพราะเจอผู้ต้องหาแล้วไปจับกุม"
........
มาครับท่านผู้แสวงหาความรู้ทั้งหลาย
เชิญมาเอาสาระ คติธรรมกับเรื่อง "อาบัติพระ"
ข้อปาราชิกกันต่อดีกว่าครับ
ส่วนโต้รายวันนั้น ผมว่าชักไร้สาระแล้วครับ
ใครจะออกข่าวว่า
"จะแจ้ง จะร้อง มส. ที่นั่นที่นี่ ก็ปล่อยให้มันเซ่อจนตายไปเถอะครับ
โปรดไม่ขึ้น ก็ปล่อยมันบ้าไป".
เมื่อวานเห็นว่า มีระดับ ศ. ดร. กฏหมาย อดีตคณะบดี มธ. จะชวนพวกมิฉาทิฏฐิไปร้องศาลปกครองว่า
"บอกชาวบ้านว่า มส. ตัดสินเรื่องวินัยของพระครั้งนี้ไม่ถูกต้อง
แต่ดันผ่ากล่วหาว่าอาจผิดกฏหมายอาญา จะฟ้องศาลปกครองไปโน่น" เอาเลยครับอย่าช้า
คิดได้ไงเนี๊ยะ ดร. ม. บีช France
ไปร้องเร็ว ๆ นะครับ
คงได้ฮากลั่น มธ. แน่ ตาย ๆๆๆ.
.......
สาระ
"กรณีตัดสินให้พระเป็นปาราชิก"
- เรื่องอาบัติพระนั้น
มีความละเอียดอ่อน มีแง่มุมมาก แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำความเข้าใจ.
......
- วันนี้คนพูดถึงอาบัติพระกันมาก
ถูกบ้าง ผิดบ้าง พูดเอามัน เอาสะใจเข้าว่าบ้าง ออกทะเลบ้าง
โดยไม่คำนึงถึงว่า จะสร้างความเสียหายแก่พระศาสนากันเลย.
......
- แต่ถ้ามองอีกด้าน ก็เป็นเรื่องดีครับ
เพราะเป็นโอกาสแห่งการแสวงปัญญา เพื่อเสริมภูมิกันของชาวพุทธ
จะได้รู้ได้เข้าเรื่องนี้กัน ก็คราวนี้แหละ.
.....
ตามมาเรื่อย ๆ ครับ
"เรื่องการเป็นอาบัติ"
- กรณีหากพระภิกษุ ทำผิดพระวินัยข้อใดข้อหนึ่ง ในจำนวนพระวินัย 227 ข้อ ก็จะเป็นอาบัติทันที
ในทันทีที่กระทำ
เมื่อรู้ตัวแล้ว สำนึกผิด
ก็ออกจากอาบัติตามวิธีที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดโทษไว้.
.......
"ลำดับอาบัติพระ"
- ปาราชิก เป็นอาบัติที่มีโทษอย่างหนัก เป็นพระ ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ
- โทษอย่างกลาง เป็นสังฆาทิเสส ต้องเข้ากรรมจึงจะพ้น
-โทษอย่างเบา ต้องแสดงคืนอาบัติ.
........
"กระบวนการตัดสินทางสงฆ์"
- ในกรณีที่ภิกษุรูปใด
ถูกโจทก์ว่าเป็นอาบัติ อาจต้องด้วยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ ต้องด้วยดื้อด้าน แต่ยังฟืนทำลง หรือต้องด้วยถูกใส่ความ
ซึ่งขึ้นอยู่กับกรณี
ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับอาบัติ คือ กระบวนการตัดสินคดีความทางสงฆ์
ซึ่งไม่ใช่ถูกโจทก์แล้วก็จะเป็นอาบัติเลย
โดยเกี่ยวข้องกัน 3 ส่วน คือ
1. อาบัติ ที่ถูกโจทก์
2. ผู้โจทก์
3. องค์คณะพระวินัยธรผู้วินิจฉัยอธิกรณ์.
.........
- ในการตัดสินอธิกรณ์ นั้น
ผู้โจทก์ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ตัดสินผู้ถูกโจทก์ว่า เป็นอาบัติหรือไม่
ทั้งไม่มีสิทธิ์ชี้นำ
ผู้โจทก์มีหน้าที่ในการโจทก์
ไม่ใช่ผู้ตัดสิน
แต่การตัดสิน เป็นหน้าที่ของพระวินัยธร ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์
ซึ่งสงฆ์มอบหมาย เรียกว่า "การกสงฆ์" (กา - รก)
- แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงก็ใช้วิธีเดียวกันนี้
ตรงนี้อย่าหลงประเด็นนะครับ
อย่า ไปตามกระแสที่ชั่ว พระชั่ว มันพยายามชักนำ แล้ววางกับดักไว้ให้เชื่อตาม เพื่อจุดประสงค์ของพวกมัน.
......
ตรงนี้ขอแทรกว่า
ในกรณีพระลิขิต (ที่เรียกกัน)
จึงไม่ใช่ "คำตัดสิน"
พระลิขิตมีสถานะเป็นเพียงผู้โจทก์ ตามพระธรรมวินัย เท่านั้น.
- หากผู้โจทก์ เป็นผู้ตัดสินเองเสียด้วยแล้ว
ก็จะผิดทั้งธรรมวินัย กฏหมาย และกฏมหาเถรสมาคมเสียเอง
นี่ไม่นับเรื่อง "นานาสังวาส".
ถ้าอย่างนี้ผู้ถูกโจทก์ ก็มีแต่ตายกับตายซีครับ.
..........
"ยกตัวอย่าง"
- กรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชผู้โจทก์ พระธัมมชโย (อ้างตามพระลิขิต) ว่า
เป็นอาบัติปาราชิก เพราะเอาที่ดินวัดมาเป็นของตน
เฉพาะเพียงแค่ยึดพระลิขิตโจทก์เท่านี้
ก็มาตัดสินว่า พระธัมมชโย เป็นปาราชิกเสียแล้ว
ก็เป็นการไม่ให้ความเป็นธรรม แก่ผู้ถูกโจทย์ ผิดหลักธรรมวินัย
ทั้งไม่เปิดโอกาสให้พระธัมมชโยได้แก้ต่าง ด้วยวิธีวินิจฉัยอธิกรณ์ ตามหลักพระธรรมวินัย.
.....


- ในกรณีนี้ ท่าน (พุทธเจ้า)
จึงมีศาลสงฆ์ไว้ให้ต่อสู้คดี หรือต่อสู้อธิกรณ์ที่ถูกฟ้อง
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย.
...
- ตรรกะเดียวกัน อีกตัวอย่างหากผมเจ้าคุณเบอร์ลินโจทก์พุทธอิสระว่า
"พุทธอิสระข่มขู่กรรโชกทรัพย์เขาที่โรงแรม แล้วได้มา
เช่นนั้น พุทธอิสระก็ต้องเป็นอาบัติปาราชิก ไปแล้ว ใช่ไหม".
....
- กรณีนี้ ขอถามชาวพุทธทั่วประเทศ ที่มีใจเป็นธรรรมดังๆ ว่า
พุทธอิสระ เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ใช่หรือไม่.
.....
- ขอให้ช่วยกันตอบจากความยุติธรรมในหัวใจ
อย่าตอบจากความอยุติธรรมที่มีอคติ
และขอให้ซื่อสัตย์ต่อพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ด้วย.
....
- เพราะหากพิจารณาตามตรรกะนี้ พุทธอิสระ ก็ขาดจากพระเสียไปแล้ว
ถามว่า ขาดจากความเป็นพระเพราะเหตุไร
มาดูคำตอบครับ
ก็เพราะว่า สิ่งที่พุทธอิสระกระทำครบ "อวหาร" คือ อาการ 5 อย่าง
เหตุแห่งการตัดสิน "ปาราชิก" ชัดเจน คือ
1. เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหน
2.ตัวพุทธอิสระเองก็รู้ว่าเขาหวงแหน
3.เงินนั้นเกินราคา 5 มาสก
4.พุทธอิสระมีจิตคิดจะกรรโชกเอาเงินนั้นมาจากเจ้าของ
5. เงินนั้นเคลื่อนจากฐานเดิมมาถูกมือพุทธอิสระ
หากวิเคราะห์อวหาร 5 แห่งปาราชิก ในกรณี ที่ พุทธอิสระอาจเข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์ครั้งนี้
ชัด ๆ คือ
- เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหน
- แม้ตัวพุทธอิสระเอง ก็รู้ว่าเขาหวงแหน
แต่เขาจำเป็นต้องยื่นออกไปให้พุทธอิสระ
ก็ด้วยความเกรงกลัวต่อชีวิตและทรัพย์ส่วนอื่นๆ จะเสียหาย
- เงินนั้นเกินราคา 5 มาสก คิดราคาขณะทำผิดเท่ากับทองคำหนัก 1 บาท
- กรณีพุทธอิสระมีจิตเป็น "สจิตตกะ" คิดจะกรรโชกเอาเงินนั้นมาจากเจ้าของ.
.....
- ชัดเจนอีกส่วน หาก พิจารณาโดยอำนาจหน้าที่
พุทธอิสระไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรที่โรงแรมแห่งนั้น
ไม่ว่าทั้งทางพระธรรมวินัย และทางกฎหมาย
จึงเป็นเหตุเชื่อได้ว่า พุทธอิสระมีจิตเป็น "สจิตตกะ" อันเป็นอวหารที่สำคัญแห่งองค์ปาราชิก
แล้วเงินนั้น ก็เคลื่อนจากฐานเดิมมาถูกมือพุทธอิสระ แถมนับเพลินออกยูทูปเรียบร้อย.
...
- พฤติกรรมทั้งหมดนี้
ครบอวหาร 5 ประการ แห่งปาราชิก อย่าง สมบูรณ์ บริบูรณ์ ไม่ขาดแม้แต่ข้อเดียวเลยครับ
- กรณีโทษแห่งอาบัติ
พุทธอิสระ จึงขาดความเป็นพระทันที เน้นว่า "ทันที"
โดยไม่ต้องรอพระวินัยธรตัดสินอธิกรณ์.
......
- ดังนั้น ในวันนี้ เมื่อเจ้าคุณเบอร์ลิน ตัดสินไปเช่นนี้
ดังแถลงแจ่มแจ้งมาดังนี้แล้ว
สมมติ พุทธอิสระ แน่จริงดังคุย
ก็ต้องท้าว่า หากเห็นว่าเป็นปาราชิก ก็ฟ้องได้เลย
ไปแจ้งความได้เลย
หากไม่ฟ้อง พุทธอิสระจะไปฟ้องหมิ่นประมาท (อีกแล้วครับท่าน)
โทษฐานที่ เจ้าคุณเบอร์ลิน ทำให้อับอายขายหน้า (ไอ้นี่ชอบรักษาหน้า)
ก็เชิญนะครับ มีคนแนะขนาดนี้ ไม่ขอบคุณก็เกินคนแล้วละ.
......
- ผมว่า ตัวพุทธอิสระนั้น แกก็ไม่โง่นักหรอก น่าจะเป็นผู้ฉลาดในพระวินัยบ้าง
คือถึงยังไงก็รู้ว่า ตนเป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว
มันไม่ต้องรอให้ใครฟ้อง นับแต่มือแตะต้องเงินที่กรรโชกมา
เงินก็ได้เคลื่อนจากฐานเดิม
ตรงนี้ก็ปาราชิกแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครฟ้อง
จริงไหมครับ "แมวแห่งแจ้งวัฒนะ".
.......
- ทีนี้ สมมติ พุทธอิสระ เกิดหัวแมว
ไม่ยอมรับว่า ตัวเองเป็นอาบัติปาราชิกแล้ว ไม่ได้เป็นพระแล้ว
หรือดื้อด้านแกล้งทำเป็นดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
กลบเกลื่อนด้วย "ทุมมังกุวิธี" คือ วิธีของพระเก้อยาก (อ่านว่า พระ-เก้อ-ยาก)
หรือ วิธีของพระหน้าด้าน, พระหน้าหนา, พระไม่มียางอาย.
...,
จะทำอย่างไรกันละ
มีวิธีครับ ไม่ยาก
- พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้แจ้งโลก มีความเป็นธรรม
รู้ว่ามนุษย์นี้มากเล่ห์เพทุบาย ลางทีอาจมีคนใส่ความ ใส่ร้ายป้ายสีกัน
พระองค์ จึงทรงให้มีพระวินัยธรผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ มาตัดสิน
พูดง่ายๆ ให้มีศาลสงฆ์คอยตัดสินคดีความที่เกิดขึ้นในพระศาสนาของพระองค์
- ไม่ใช่ตัดสินคนเดียว ต้องตัดสินเป็นองค์คณะพระวินัยธร.
.....
- เมื่อศาลสงฆ์ ซึ่งทำหน้าที่แทนสงฆ์ตัดสินไปแล้ว
ก็ให้ถือเป็นที่สิ้นสุด ยุติ ห้ามรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีก
เพราะจะวุ่นวายไม่จบสิ้น
พระศาสนาก็จะบอบช้ำ
เป็นที่เอื่อมระอาแก่หมู่คณะ
สั่นคลอนศรัทธาของพุทธบริษัท.
.....
มติ มส. 10.02.2016
- ทีนี้มาเรื่องที่ มส. ท่านยืนตามศาลสงฆ์
ไม่ปรับอาบัติปาราชิกแก่ธัมมชโย
นั่นก็เพราะ มส ชุดนี้ ท่านไม่มีหน้าที่ไปรื้อฟื้นคดี
ที่ มส. ชุดเก่าระงับอธิกรณ์ไปแล้ว เสร็จสิ้นแล้ว
ตามธรรม ตามวินัย ครบไปแล้ว
- หากรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ มส. ทั้งหมด ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์เสียเอง
โทษฐานละเมิดข้อบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ .
....
- ส่วนสาเหตุที่ท่าน ไม่ปรับอาบัติปาราชิกพระธัมมชโยกรณีที่ดิน (ต้องย้ำว่า กรณีที่ดิน)
ก็เพราะไม่ครบองค์อวหาร" คือ อาการ 5 อย่าง แห่งการตัดสินปาราชิก คือ
1. ที่ดินนั้นเจ้าของเขาถวายวัด
2. พระธัมมชโยในฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัด ก็รู้ว่าเขาถวายวัด
3.ที่ดินนั้นตีราคาเกิน 5 มาสก
4. พระธัมมชโยไม่มีจิตคิดจะลัก(ไม่มีเถยยจิต) เพราะถือวิสาสะว่า ตนเป็นเจ้าอาวาส มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
5. ที่ดินนั้นก็ยังอยู่ครบตามที่เขาถวาย ไม่ได้ถูกจำหน่ายจ่ายแจกออกไปจากศาสนา หรือผิดวัตถุประสงค์ทายกผู้บริจาค.
.....
"วิเคราะห์องค์ อวหาร 5 อย่างแห่งปาราชิก ของพระธัมมชโย"
- ที่ดินนั้นเจ้าของเขาถวายวัด พระธัมมชโยในฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัด
ก็รู้ว่าเขาถวายวัด
ที่ดินนั้นตีราคาเกิน 5 มาสก
พระธัมมชโยไม่มีจิตคิดจะลัก (ไม่มีเถยยจิต)
เพราะถือวิสาสะว่า ตนเป็นเจ้าอาวาส
ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งทางพระธรรมวินัยและกฏหมาย
การเซ็นรับที่ดิน เป็นอำนาจหน้าที่เจ้าอาวาส จึงจะสมบูรณ์ ( คือ พระลูกวัดรับแทนไม่ได้ เว้นแต่กรณีที่เจ้าอาวาสมอบหมาย)
สุดท้ายที่ดินนั้น ก็ยังอยู่ครบตามที่เขาถวาย ไม่ได้ถูกจำหน่ายจ่ายแจกไปที่ไหน.
- พูดง่ายๆ เมื่อเขาถวายที่ดินให้วัด วัดเซ็นรับที่ดินเองไม่ได้
เพราะตัววัดไม่มีชีวิต
ก็ต้องให้เจ้าอาวาส (เจ้าหน้าที่) ก็ต้องเซ็นรับ ในฐานะเป็นนิติบุคคล ทำการแทนวัด.
.....
- ตรงนี้แหละที่ผมเคยเคยบอก DSI ไปนานแล้วว่า
"ถ้าระบุว่าผู้เซ็นเป็นในนามเจ้าอาวาส ก็รีบขึ้นรถกลับ สนง.ทันที"
เริ่มหายมึนยังครับ.
.....
จบไหม
- เกิดปัญญามัยครับชาวพุทธไทย ฟังผมแจงมา
แจ้งชัดแดงแจ๋แบบนี้
ผมว่าอย่าปล่อยให้พุทธอิสระหลอกตีกินอีกเลย จบ ๆ กันสักที
เวรกรรมมันกำลังจะตามทันตาเห็น จะต้องประสบหายนะถึงความฉิบหาย 10 ประการ (ตามโพสต์ที่แล้ว) เร็ว ๆ นี้แหละ
ตอนนึ้สังคมก็เริ่มรุกให้ไม่มีที่ยืนทุกวัน ๆ แล้ว.
......
- เห็นมั้ยละครับว่า มส. ท่านเที่ยงตรงต่อพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักอย่างไร
ท่านกล้าในพระธรรมวินัยอย่างไร.
..,....
- ตอนนึ้ ก็ยังเหลือก็แต่พุทธอิสระนั่นแหละ ว่าจะเอาไงกับชีวิตตนเองดี
หากยัง เป็น "ทุมมังกุภิกษุ" แอบเอาจีวรพระมาห่อกาย แม้ไม่รู้สึกละอายต่อบาปกรรมที่ทำลงไป ไม่รู้สึกละอายต่อตัวเอง
ก็ขอให้ละอายต่อผ้าเหลืองธงชัยอรหันต์ที่เอาห่อหุ้มกายตนเองบ้างเถอะครับ
ถึงเวลานั้น ผู้คนเขาก็คงอโหสิกรรมให้บ้างแหละครับ.
- แต่ตอนนี้ ผมจะบอกให้เอาบุญว่า.,
"คนในประเทศไทยเกิน 60 ล้านคน เขามีแต่สาบแช่งคุณ และพวก "เข้าพวก" กันทุกวินาทีนะครับ"
ดีหรือ ถูกหรือ เจริญหรือ แบบนี้
ไม่เชื่อลองเดินไปไหนคนเดียวดูซิ กล้าเปล่า.
........
- ขอให้มีความแจ่มแจ้งในพุทธธรรมทุกท่านนะครับ
จบ จบ และจบ (ก่อน)
โพสต์ "อนันตริยกรรม" มีเสียวครับ
โชคดีมีชัยทุกท่านครับ.
เจ้าคุณเบอร์ลิน
14.02.2016

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว?

 โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

25 กุมภาพันธ์ 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การนำของ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แถลงข่าวผลการตรวจสอบรถโบราณที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งตามสมุดทะเบียนรถปรากฏชื่อท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จวัดปากน้ำหรือ “สมเด็จช่วง” เป็นผู้ครอบครอง โดยแถลงกล่าวหาว่าเป็นรถที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ

ผมติดตามข่าวนี้อย่างละเอียด เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างคล้ายกับการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองยังไงยังงั้น ถ้าพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมาจะเห็นการสมคบคิดของกลุ่มคนดีกลุ่มเดิมที่เตรียมการล่วงหน้าและแบ่งหน้าที่กันมาเป็นอย่างดี ตัวละครที่ออกมาเล่นก็ล้วนเป็นนักแสดงหน้าเก่าทั้งสิ้น

การกระทำทั้งหมดมุ่งไปที่จุดเดียวกันคือ สร้างสถานการณ์บิดเบือนป้ายสีให้ประชาชนเชื่อว่า “สมเด็จช่วง” ต้องมลทินและมีความมัวหมอง โดยใช้เรื่องรถโบราณเป็นเครื่องมือในการสร้างข่าว พยายามใช้ตรรกะและความเชื่อมโยงแบบคลุมเครือเพื่อให้ดูเหมือนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายที่เกิดขึ้น ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นเพียงรถ หนึ่งในหลายพันหลายหมื่นอย่างที่ลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนถวายให้ท่าน และได้มอบให้ทางวัดนำไปตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์เหมือนของถวายมีค่าชิ้นอื่นๆ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังและผู้สนใจใช้ศึกษาหาความรู้กันต่อไป โดยไม่ได้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย

ผมไม่ปฏิเสธหลักฐานต่างๆที่ดีเอสไอแถลง และอยากเห็นการดำเนินการเรื่องนี้จนถึงที่สุด แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่รวมถึงผมยังติดใจว่าทำไมดีเอสไอถึงเลือกเอารถโบราณวัดปากน้ำที่แจ้งยุติการใช้รถตลอดไปตามทะเบียนรถตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2556 เป็นเป้าหมายพิเศษในการตรวจสอบ ทั้งที่มีรถยนต์เข้าข่ายและยังวิ่งใช้งานอยู่ตามท้องถนนมากถึง 6,000 คัน

ผมติดใจการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนบางกลุ่มบางพวกที่ใช้คำศัพท์เรียกรถโบราณที่ผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 ซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปีว่า “รถหรู” ทั้งที่รถหรูเป็นคำประสมหมายถึงรถยนต์นำเข้าที่มีราคาแพง มีรูปทรงเด่นเฉพาะ มีการผลิตจำนวนน้อยหรือผลิตตามสั่ง เครื่องยนต์มีกำลังแรง และที่สำคัญนำเข้ามาในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีสูงถึง 300% เพราะฉะนั้นการเลือกใช้คำว่า “หรู” จึงเป็นการใช้คำศัพท์ที่ผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริง ทำให้เชื่อได้ว่ามีกระบวนการจัดตั้งที่มีความประสงค์จะทำให้สาธารณชนส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจผิด และทำให้ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จต้องมีมลทินและถูกเกลียดชังจากประชาชนที่เสพข่าวที่ไม่ถูกต้อง

ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า หลังจากการนำเสนอข่าว ผมพบว่าในโลกโซเชียลมีคนจำนวนมากเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและสับสนข้อมูลที่ได้รับ บางคนถึงกับเข้าใจเลยเถิดไปว่าเป็นรถที่ใช้เป็นพาหนะประจำตัวด้วยซ้ำ และเมื่อมีการประโคมข่าวรถหรูอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางร้ายว่าท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จรู้เห็นกับการรับถวายที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

ผมนำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟังเพราะคิดว่าเป็นอีกเรื่องที่ไม่มีความยุติธรรม ผมเห็นฆราวาสจำนวนมากเขียนถึงท่านเสียๆหายๆ บางคนถึงกับด่าว่าด้วยคำหยาบคาย บางคนบังอาจสั่งสอนท่านและกล่าวถึงท่านด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ วันนี้อะไรกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ทำไมคนเราถึงเห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ความจริงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ทราบกันได้ไม่ยาก

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์แห่งวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ บวชเรียนมาถึง 77 พรรษา และปีนี้ท่านมีอายุถึง 91 พรรษา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีในหมู่สงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และตลอดชีวิตที่อยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ท่านเป็นผู้ให้มาโดยตลอด


ในวงการสงฆ์ต่างรู้ดีว่าสิ่งก่อสร้างกว่า 80% ในพุทธมณฑลนั้นถูกดำเนินการจนสำเร็จเพราะการสนับสนุนของท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จได้บริจาคปัจจัยสมทบทุนต่างๆในบวรพุทธศาสนามากมาย ใครจะมาขอหรือไม่ ท่านก็มีแต่ความยินดีที่จะให้โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร ดังนั้น วัดวาอารามต่างๆทั้งในและต่างประเทศจึงคุ้นเคยกับการให้ของท่านเป็นอย่างดี นอกจากนั้นท่านยังบริจาคปัจจัยเพื่อนำไปสมทบทุนก่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ สิ่งที่ท่านมอบให้กับสังคมมีมากมายและเป็นที่ประจักษ์ แม้ท่านจะมีลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนที่บริจาคสิ่งของและปัจจัยอย่างมากมาย ท่านไม่เคยคิดที่จะเก็บไว้เป็นของส่วนตัว แต่นำกลับไปทำนุบำรุงศาสนาตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ลืมที่จะให้ทานกลับมาให้ทางโลกด้วยเช่นกัน

ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จปฏิบัติศาสนกิจแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด นอกจากการให้ทานแล้วยังให้ความรู้แก่สงฆ์และฆราวาสมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสมณศักดิ์ของท่านจะสูงขึ้นเท่าไรก็ตาม แต่วัตรปฏิบัติของท่านก็ไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งเป็นที่รับรู้ในวงการสงฆ์โดยทั่วไป

ดังนั้น จากจริยวัตรที่งดงามและท่านยังเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีสมณศักดิ์สูงสุด กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปจึงมีมติเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อท่าน ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราชองค์ต่อไปของกรุงรัตนโกสินทร์ มติของมหาเถรสมาคมเป็นเอกฉันท์ทั้งมหานิกายและธรรมยุตเช่นนี้ ย่อมยืนยันให้พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศได้มั่นใจว่าในสังฆมณฑลของเราไม่มีความแตกแยกแต่อย่างใด

ผมมั่นใจว่า ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จให้อภัยกับกลุ่มบุคคลที่สมคบคิดและป้ายสีท่านเพื่อให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นข้ออ้างที่จะชะลอการเสนอชื่อท่าน แต่ผมอยากจะเตือนกลุ่มบุคคลและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคนด้วยจิตที่เป็นกุศลว่า วิธีการที่ท่านสมคบคิดกันเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการตั้งสังฆราชครั้งนี้เป็นบาปใหญ่จริงๆ และผมเชื่อว่าคงอยู่ทันได้เห็นผลลัพธ์การสร้างบาปใหญ่ครั้งนี้อย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก http://www.lokwannee.com/web2013/?p=204510

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หนึ่งนาทีที่เป็นบัณฑิต ดีกว่าตลอดชีวิตที่เป็นพาล

"หนึ่งนาทีที่เป็นบัณฑิต ยังดีกว่าตลอดชีวิตที่เป็นพาล" คำคำนี้มีความหมายมากเลยทีเดียว แม้แต่พระเทวทัตที่ว่าชั่วร้าย

ท้ายสุดของชีวิตก็ยังสำนึกบาป ได้ขอขมาพระบรมศาสดาสัมมามาสัมพุทธเจ้า

คนเราจะดีหรือเลวบางทีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครอบครัวหรือพ่อแม่เสมอไป  บางคนก็พาลเพราะสิ่งแวดล้อม บางคนก็ติดนิสัยเชื้อพาลมาข้ามชาติ บางคนพาลเพราะคบคนพาลอันนี้จะมีเยอะ

คนดีจะมีนิสัยพื้นฐานอยู่อย่างคือ ขี้เกรงใจ ไม่ชอบการขัดแย้งกับใคร แต่คนพาลนั้นจะตรงกันข้ามทำให้คนพาลจึงมีอิทธิพล

คนดีจึงมักถูกรังแก และเหมือนว่าคนพาลแม้มีน้อยแต่ก็เสียงดัง ยิ่งมีกลุ่มอิทธิพลหนุนหลังจะยิ่งสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้ในวงกว้างมากเท่านั้น เพราะใครก็ทำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งกฎหมายบ้านเมืองเองก็ยังไม่กล้านำออกมาใช้กับคนพวกนี้

ดูจากพระเทวทัตที่เป็นพาลองค์เดียว ก็ยังทำให้เมืองทั้งเมืองต้องปั่นป่วนเกิดเรื่องเลวร้ายกันไปทั่ว พระเจ้าอชาติศัตรูถึงขั้นปลงพระชนม์พระราชบิดา

ดูจากพระเจ้าอชาตศัตรูแล้วพระองค์เกิดมาในตระกูลกษัตริย์ที่เพียบพร้อม พระชนกพระชนนีล้วนทรงทศพิธราชธรรม โดยเฉพาะพระเจ้าพิมพิสาร พระราชบิดานั้น ทรงเป็นถึงพระโสดาบันที่มั่นคงต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่วแน่

 แต่พระเจ้าอชาตศรัตรูกลับเลื่อมใสในคนพาลคือพระเทวทัต


แม้พระเทวทัตเองก็เป็นเจ้าชายเกิดในตระกูลกษัตริย์แต่ทรงมีนิสัยพาลติดตัวมาข้ามชาติอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเกิดความน้อยใจจึงคิดการใหญ่ปกครองสงฆ์เสียเอง เมื่อครอบงำพระเจ้าอชาตศรัตรูได้ พระเทวทัตจึงมีอิทธิพลในพระราชสำนัก

แผนการมุ่งร้ายต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้มีอิทธิพลที่เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธองค์คือสิ่งที่เขาต้องจัดการ

 ดังนั้นพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของแคว้นมคธคือสาวกผู้เลื่อมใสคนสำคัญที่จะต้องจัดการให้สิ้นซาก พระเทวทัตจึงยุยงพระเจ้าอชาตศรัตรู ให้ทำปิตุฆาตพระราชบิดาเสีย

ถึงตอนนี้บางท่านคงมีคำถามในใจว่า พระเจ้าอชาตศรัตรูเองไม่ทรงเอะใจเลยหรือ? พระราชบิดาทรงรักพระองค์ขนาดยอมทำตามทุกอย่าง ไม่เคยคิดร้าย รู้ทั้งรู้ว่าพ่อไม่เคยทำอันตรายแต่ทำไมจึงเชื่อคำยุยงของพระเทวทัต ข้อนี้คือสิ่งที่น่าสนใจถ้าเทียบกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ส่วนพระเทวทัตเองก็มุ่งโจมตีพระพุทธเจ้าให้คนเสื่อมศรัทธา เมื่อทำลายศรัทธาไม่ได้จึงมุ่งร้ายถึงชีวิต

เอาช้างตกมันที่ดุร้ายหมายปลงพระชนม์ชีพ พอไม่สำเร็จก็จ้างนายขมังธนูอีก10 ชุดวางไว้ตามจุดต่างๆที่พระพุทธองค์เสด็จผ่าน โดยวางแผนซ้อนแผนเมื่องานสำเร็จจะปิดปากโดย ยืมมือคนทั้งหมดสังหารกันเองด้วย แต่ด้วยพุทธานุภาพทำให้ทุกคนรอดชีวิตและกลับตัวกลับใจพร้อมเผยแผนการร้ายทั้งหมด

 แต่กฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถเอาผิดได้คนจ้างวานได้ เมื่อแผนนี้ไม่สำเร็จก็เลยลงมือเอง โดยกลิ้งหินบนเขาคิชกูฎเพื่อให้หล่นทับเมื่อพระพุทธองค์เสด็จผ่าน แต่ก็ได้แค่เพียงเศษหินกระเด็นมากระทบข้อพระบาทให้ห้อพระโลหิตเท่านั้นเอง เมื่อทำอะไรไม่ได้ความแค้นยังแน่นจุกอก

จากนั้นพระเทวทัตก็เข้าไปขอปกครองสงฆ์และปฎิรูปพระศาสนาเสียเองโดยยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ โดยอ้างว่าพระบรมศาสดานั้นทรงพระชราภาพ และไม่เคร่งครัดพระธรรมวินัย พระที่เคร่งต้องบิณฑบาตเป็นวัตร ต้องงดฉันเนื้อสัตว์ให้ฉันมังสวิรัติเท่านั้นเป็นต้น และแต่ละข้อล้วนสุดโต่งทั้งนั้น พระบรมศาสดาทรงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แต่ทรงให้แนวทางไว้ ไม่บังคับใคร พระเทวทัตก็ถือเหตุนี้เป็นข้ออ้างว่าตัวเองเคร่งครัดในพระธรรมวินัยกว่า  กล่าวโจมตีพระพุทธเจ้า ทำให้สาวกที่เลื่อมใสและเชื่อถือตามไปอยู่ด้วย

ข้อสังเกตสาวกที่ตามพระเทวทัตในยุคนั้น แม้เกิดทันพระพุทธเจ้าก็ยังนั้นก็หลงเชื่อคำพูดพระเทวทัต ที่บอกว่าตัวท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยกว่าพระพุทธเจ้า โดยลืมดูพฤติกรรมที่จ้วงจาบและขาดความเคารพ ตัวสาวกที่ตามพระเทวทัตไปก็ยังไม่ได้รู้พระธรรมวินัยอะไรเท่าไหร่แทนที่จะเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกหมู่ใหญ่ ที่มีตั้งมากมาย กลับเชื่อพระเทวทัตเพียงองค์เดียว หรือเป็นเพราะพระเทวทัตนั้นมีพระเจ้าอชาตศัตรูและผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเลื่อมใสคอยถือหางหรืออย่างไร???

แต่สุดท้ายด้วยกรรมที่หนักเกินจนทำให้แผ่นดินที่หนาถึง สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็มิอาจต้านทาน พระแม่ธรณีได้แยกหนีเพื่อให้นรกอเวจีรับตัวไป ก่อนแผ่นดินสุดท้ายจะปิดลงยังคงเหลือส่วนที่ให้พระเทวทัตได้สำนึกผิดในบาปอันมหันต์ที่ทำลงไป นึกถึงพระคุณอันไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้า จึงอากระดูกคางเกยแผ่นดินแทนกราบขอขมาในวาระสุดท้ายก่อนอเวจีจะมหานรกจะสูบลงไปพร้อมพระแม่ธรณีปิดตำนานคนบาปลง

อยากฝากเป็นข้อคิดให้ทุกคนในสังคมไทย อย่าได้ฝักใฝ่คนพาล คนพาลนั้นดูไม่ยาก พวกนี้จะใจขุ่นมัวเป็นปกติ

คิดแต่เรื่องไม่ดี พูดแต่เรื่องไม่ดี ไม่ชอบระเบียบวินัย ชอบจับผิดกล่าวหาคนอื่นเป็นต้น

เรามาดูว่า เรายังคบคนพาลอยู่หรือเปล่า หรือว่าเราเป็นพาลซะเอง อย่าปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินแก้

 อย่าปล่อยให้ตัวเองไม่เข้าใจต้องตายไปพร้อมกับใจที่เป็นพาล

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

DSI ฟ้องพระธัมมชโย

คาด ดีเอสไอ...นั่งเทียนเขียนเรื่องฟ้องธัมมชโย


จากข่าวที่ปรากฏทางสื่อเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 ว่าดีเอสไอได้ประชุมกับพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ประกาศจะสรุปหลักฐานฟ้องพระธัมมชโยฐานรับของโจรและฟอกเงินภายในกุมภาพันธ์นี้ จากแหล่งข่าวพบหลักฐานชัดว่า ตอนนี้คดีนายศุภชัย ศรีศุภอักษรในคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนียนนั้นยังไม่จบและอยู่ในช่วงการดำเนินคดี และศาลยังไม่ได้ตัดสินว่านายศุภชัยถูกหรือผิด เพียงแต่ถูกสังคมตัดสินเท่านั้น “ว่าผิด”ตามสื่อพาดหัวข่าวต่างๆ นานา จึงชี้ชัดไม่ได้ว่านายศุภชัยเป็นโจร ซึ่งหากดีเอสไอระบุว่าพบหลักฐานที่จะมาฟ้องพระธัมมชโยฐานรับของโจรและฟอกเงินนั้น คาดว่าต้องเป็นหลักฐานแบบ “นั่งเทียนเขียนเอา” อย่างแน่นอน แม้ได้มาแล้วก็”ฟ้องไม่ได้อยู่ดี เพราะคดียังไม่จบ” คุณศุภชัยเป็นโจรหรือไม่ใช่โจรนั้น ยังไม่มีข้อสรุป

ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 ฝ่ายกฎหมายได้เข้าไปหารือกับพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษว่าได้แจ้งให้ดีเอสไอปฏิบัติอย่างไรกับคดีดังกล่าว แล้วทราบชัดว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือแจ้งดีเอสไอว่า “ให้ไปแจ้งข้อหาลักทรัพย์นายจ้างและสอบสวนคุณศุภชัยเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดหรือรู้เห็นการกระทำผิดของคุณศุภชัยหรือไม่ก่อน แล้วค่อยสอบสวนดูว่ามีกลุ่มใดร่วมสมคบกับคุณศุภชัยบ้าง เมื่อได้ข้อสรุปก็ส่งมาให้ฝ่ายคดีพิเศษ เพื่อสั่งคดีต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหาและสอบสวนคุณศุภชัย ข้างต้นแต่อย่างใด จึงไม่สามารถแจ้งข้อหารับของโจรหรือฟอกเงินกับใครได้”

และกรณีนี้ชี้ชัดว่าดีเอสไอกำลังใช้อำนาจนอกเหนือหน้าที่ของตน เพราะเจ้าทุกข์เองผู้เสียหายก็ได้ถอนฟ้องไปแล้วและได้ทำหนังสือแจ้งดีเอสไอเรียบร้อย แต่สงสัยคงไม่ได้อ่านกัน เรียกว่าหาเรื่องฟ้องเองก็ได้ ซึ่งมองว่าเริ่มทำตนเหนือกฎหมาย ส่อความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นต่อในสังคมไทย ในเมื่อหน่วยงานราชการ กำลังทำหน้าที่เหนือกฎหมายแต่เอากฎเองมาใช้ อันนี้มันถูกต้องแล้วหรือ ลองพิจารณากัน ขอบอกว่าไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ขอเข้าข้างความยุติธรรม เมื่อใดคนเรามีความยุติธรรมแล้วธรรมจะคุ้มครอง


ถิ่นธรรม ถิ่นไทย

รับถวายหรือรับของโจร

พระพุทธศาสนานี้อยู่ได้ด้วยการให้ กับอะไรที่เรียกว่ารับของโจร


มีข่าวว่าทางดีเอสไอจะเอาผิดเจ้าอาวาสวัดดังวัดหนึ่งแถวปทุม ฟังแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะข้อหาที่จะกล่าวหาท่านคือ รับของโจร ฟังแล้วก็น่าตกใจเพราะถ้ามองแบบง่ายๆ เป็นพระ เป็นหลวงตา ต่อไปนี้ต้องระวังเรื่องรับถวายแล้วหรือ พระพุทธศาสนาอยู่ได้ด้วยการให้ หากไม่มีญาติโยมมาทำบุญแล้ว พระเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร แล้วโยมเองก็จะไม่มีที่พึ่งทางใจให้เมื่อยามทุกข์โศก ในฐานะผู้เขียนก็เป็นเด็กวัดคนหนึ่ง จึงต้องไปเปิดสมุดตำรากฎหมายกันหน่อย จะผิดถูกอย่างไร ก็อย่าว่ากันนะครับ

เมื่อไปเปิดดูกรณีเหตุการณ์รับของโจร คือผู้ต้องหานั้นต้องเป็นผู้ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไป ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใด และต้องรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างใน ๙ อย่างคือ ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก และเจ้าพนักงานยักยอก แต่หากไม่รู้ก็ไม่มีความผิดฐานรับของโจร พอฟังประโยคสุดท้ายแล้วเริ่มสบายใจ เพราะหลวงตาที่วัดผม ท่านคงพ้นผิดแน่เพราะท่านต้องไม่ทราบแน่นอนว่าโยมเอาเงินมาจากไหนเพราะจะมีเจ้าอาวาสองค์ไหนบ้าง ที่จะถามโยมว่าเอาปัจจัยมาจากไหน ถ้าถามจริงโยมคงไม่พอใจเป็นแน่เพราะเหมือนกับการไม่ให้เกียรติกันและคงไม่อยากมาทำบุญอีก ถึงตอนนี้ผู้เขียนก็ไม่ได้ทราบข้อมูลจากข่าวข้างต้นนัก แต่พอจะเข้าใจท่านเจ้าอาวาสนะ


หากมีโยมมาถวายอย่างไรก็ต้องรับไว้ ถ้าไม่มีปัจจัยท่านจะเอาเงินจากไหนดูแลวัดโดยเฉพาะครั้งที่ผู้เขียนเคยไปวัดแถวปทุมนั้น วัดท่านก็ใหญ่มาก พระก็เยอะศาสนาสถานหลัก ๆ มีหลายแห่งเช่น เจดีย์ ศาลาหลังใหญ่ วิหาร เป็นต้น ท่านคงต้องใช้เงินมากในการดูแลและคงไม่ทราบหรอกว่าเงินมาจากไหน ขนาดเราอยู่วัดบ้านนอกยังไม่รู้เลย แต่รู้ว่าแต่วัดมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากพอควร ผู้เขียนขอให้ทุกคนที่ได้อ่านได้วางใจเป็นกลาง จับมองแต่แง่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาเพราะเรารู้ว่า พระพุทธศาสนาอยู่ด้วยการให้ รวมถึงความรัก ความให้อภัย มีเมตตา เคารพและเข้าใจซึ่งกันและกัน


ถิ่นธรรม ถิ่นไทย


วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สังฆราชองค์ปัจจุบัน

กฎหมาย กฎหมู่ กฎกรู?

            เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ๆ ปู่ย่าตายายมักพูดให้ได้ฟังเสมอ ๆ ว่า อย่าไปมีเรื่องกับใครเชียวนา ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลไม่ดีเลย มีแต่เสียกับเสีย สิ่งที่ท่านบอกว่าเสีย เราเป็นเด็กก็งง คืออะไร เริ่มโตขึ้นมาหน่อยเลยเข้าใจ เสียอย่างแรกที่ว่าคือเสียอารมณ์ หรืออารมณ์เสีย เสียต่อมาเสียเงินเสียทอง ยังไม่พอเสียชื่อเสียงตามมาอีก จนบางครั้งพูดกันไปถึงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว เลยถึงขึ้นใช้อำนาจที่มีข่มขวัญเลย เมื่อจัดการกันแรงจนเลยเถิดไปถึงขึ้นลงไม้ลงมือ หรือให้ฝ่ายตรงข้ามพินาศย่อยยับไปกับมือของตนเองก็ย่อมเป็นไปได้ จนเป็นแรงอาฆาต ที่ถูกพัฒนามาจาก โลภ โกรธ หลงนั่นเอง เขาเรียกว่ากิเลส เข้ามาเรื่องพระเสียเลย แต่ที่แท้มันก็เป็นอย่างที่ว่าแหละ เพราะสามตัวนี้ที่มีอยู่ในมนุษย์ขี้เหม็นทุกคน ยกเว้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายที่หมดกิเลส และบุคคลที่ฝึกฝนตนเพื่อความหลุดพ้นที่เรียกว่าพระโพธิสัตว์ก็พออนุโลมเพราะมันเริ่มเบาบางแล้ว

            สถานการณ์นี้ช่างสอดคล้องเสียจริงทำให้เห็นอะไรในสังคมไทยชัดขึ้น เรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็บังเกิดขึ้นเป็นเรื่องราวใหญ่โตโอฬารบานหทัย คนบริโภคอาหารเช้าแทบอยากจะอ้วกไปตาม ๆกันเพราะดูสื่อที่ออกแต่ละเรื่องไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ชักนำทำให้มันน่าจะเป็นไปได้นี่ก็กรณีหนึ่ง  เรื่องที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรอื่น การเสนอชื่อแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ เมื่อพระสังฆราชองค์เดิม สิ้นพระชนม์ (มรณภาพ) ลง ทางกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) จะเสนอชื่อผ่านไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทางรัฐบาลนำขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อไป

ดังนั้นการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20  ต้องยึดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ โดยเฉพาะ ตาม มาตรา 7 แต่งตั้ง สมเด็จพระสังฆราช  ขณะนี้สมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสโดยสมณศักดิ์ เห็นจะเป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ สังกัดมหานิกาย ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งโดยพฤตินัยและทางนิตินัยตามบทบัญญัติของทางคณะสงฆ์ และได้สังฆามติจากมหาเถรสมาคมแล้ว แต่เรื่องไม่เป็นไปตามเนื้อผ้าที่ว่า เกิดอดีตพระผู้ทุศีล และมนุษย์ประหลาดสองสามตน ทำการขัดขวางการแต่งตั้งในครั้งนี้ เรื่องจึงลุกลามมาถึงทุกวันนี้ ในส่วนของฝ่ายสงฆ์ได้ทำสมบูรณ์แล้ว แต่ไม่เข้าใจว่ายังติดขัดอะไร ขอย้ำว่าหน้าที่นี้คือ บทบาทของสงฆ์เท่านั้น หรือจะรอให้ใครแปลงสาส์นเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นเห็นจะเล่นเกินบทบาทหน้าที่แล้วมั้ง เหมือนนักฟุตบอล ชอบล้ำหน้าอยู่เรื่อย งานนี้จะหวังพึ่งไลน์แมน(กรรมการผู้กำกับเส้น)ผู้เที่ยงธรรม ใช้กฏกติกาที่มีอยู่ตัดสิน และควรที่จะมีดวงตาเอกซ์เรย์ หรือเอาเป็นว่าตาสว่างเสียที  เกมนี้จะหาคนพันธุ์นี้ได้ใหม???  แต่เราก็เชื่อลึกๆ ว่ารัฐบาลรักพระพุทธศาสนา...
( Cr.อิสรชน)








อย่าท้าทาย!!

แม้ความไม่รู้ก็ไม่อาจช่วยให้พ้นพญามัจจุราช ได้???

วันนี้ได้เห็นภาพสมเด็จวัดปากน้ำแล้ว รู้สึกสลดใจว่า  คนไทยทำไมใจถึงได้หยาบช้า ขนาดกล้าด่าพระมหาเถระที่บวชตั้งแต่สามเณร ทำคุณงามความดีมาตลอดชีวิต แค่มีคนไม่กี่คนมาสร้างเรื่องป้ายสี ยัดข้อหาด้วยเจตนาที่เจาะจงมุ่งร้ายทำลายประมุขสงฆ์โดยเฉพาะ แต่ละข้อหาช่างปัญญาอ่อนแต่คนก็เชื่อ เพราะอะไร หรือว่าวินิจฉัยของคนในสังคมตอนนี้ มันเสียไปเพราะแยกไม่ออกว่าอันไหนดีชั่ว ถูกผิด ควรไม่ควร

คนก่นด่าพระอย่างไม่ลืมหูลืมตา ช่างน่าสงสาร ยิ่งท่านมีคุณต่อพระพุทธศาสนามากเท่าไหร่ วิบากกรรมนั้นยิ่งจะส่งผลมากขึ้นเท่านั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่กฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่ พระอรหันต์และผู้ปฏิบัติธรรมที่มีคุณวิเศษ ท่านรู้และเห็นด้วยตาภายในเข้าไปเห็นกิเลสที่ก่อให้เกิดวิบากกรรม 


โดยเฉพาะพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นสิ่งเหล่านี้ และพระองค์ทรงจัดหมวดหมู่ของกิเลส เพื่อง่ายต่อการแก้ไข  เป็น ๓ ตระกูล ใหญ่ คือโลภะ โทสะ และโมหะ

ตาภายนอกเราท่านอาจมองไม่เห็นกิเลส แต่สามารถมองเห็นอาการของกิเลสได้ เปรียบเหมือนกระแสไฟ เรามองไม่เห็น แต่เราเห็นอาการของกระแสไฟได้

เหมือนกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดไฟ ไฟก็สว่างเป็นต้น เปรียบเหมือนกิเลส เรามองไม่เห็นกิเลส แต่เราเห็นอาการของกิเลส เช่น อาการของกิเลสตระกูลโทสะเวลาโกรธจะหน้าแดง ปากสั่น ตาแดงเป็นต้น ตระกูลโมหะ คนหลงก็จะมัวเมาแสดงออกทางความคิดการกระทำ

อวิชชาความไม่รู้จึงทำให้มนุษย์หลงทำความชั่ว เวลากิเลสเกิดขึ้นก็จะบังคับจิตใจของมนุษย์ ให้พูดคิดทำในเรื่องที่ผิดชั่ว เช่นบางคนเสพสื่อพาลมากๆ หลง คิดว่าพระไม่ดีทั้งหมด ก็จะด่าตำหนิพระทำบ่อยๆ เข้าก็จะมีวิบากกรรม ทำให้ไปเกิดในอบาย พอมีโอกาสได้เป็นมนุษย์ กรรมก็จะส่งผลให้เกิดมามีปากที่เหม็นเน่า ปากเบี้ยวบ้าง เกิดในตระกูลต่ำ ถูกผู้คนเหยียดหยาม ใส่ร้ายป้ายสี เหมือนดั่งที่ตัวเคยทำ รูปร่างก็จะพิกลพิการ  บางกรรมที่มีเจตนาแรงกล้าก็จะส่งผลในชาตินี้ทันที เช่น ทรัพย์สินเงินทองวิบัติ น้ำท่วม ไฟไหม้ อุบัติภัย โรคร้ายรบกวน บางกรรม ก็ส่งผลในชาติต่อไป 

หน้าที่ของกรรมก็จะกดสรรพสัตว์ให้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ตามแรงกรรม จะได้ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ให้เวียนตายเวียนเกิด กว่าจะมีปัญญามารู้ว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดชอบ ก็นานนับกัล์ปไม่ถ้วน กว่าจะมาถึงมีปัญญาดั่งชาตินี้ ก็ต้องผ่านการเวียนตายเกิดมายาวนาน แล้วไปเอาปัญญาใช้ในทางที่ชั่ว ก็วนลงเวียนไปสู่อบาย มีนรก เปรต อสุรกายเป็นต้น มีสัตว์เดียรฉานเป็นปริโยสาน 

ดังนั้นชาวพุทธ ต้องศึกษาความจริงของชีวิตหรือกฎแห่งกรรม เพราะสิ่งที่ทำด้วยความไม่รู้ ด้วยความคะนองปาก วิบากไม่เคยละเว้น จะตามติดไปทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม ทั้งคน สัตว์ ก็จะประสพเคราะห์กรรมอันสาหัสนี้ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง หรือคุณจะกล้าท้าทายพญามัจจุราชต่อไป ก็แล้วแต่...เพราะถึงแม้ความไม่รู้ ก็ไม่อาจช่วยคุณให้พ้นจากพญามัจจุราชได้...

รักและห่วงใย


“ทหารกับพระทะเลาะกัน??”

ปลด LOCK ความคิด “ทหารกับพระไม่ทะเลาะกัน”





ตามที่มีบุคคลบางคนตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์ข่าวจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ที่พุทธมณฑล ว่า “ ทหารกับพระทะเลาะกัน “ ซึ่งอาจจะทำให้มองเห็นภาพที่ไม่งามของพระที่ไปทะเลาะกับทหาร เรามาลองเปิดใจดูอย่างผู้มีดวงปัญญาสักนิด

ความจริง เป็นอย่างไร ?

ทหารนำรถมาจอดบนถนน เพื่อดูแลความปลอดภัยของพระและสาธุชน และเนื่องจากจำกัดด้วยเวลาในการถวายภัตตาหารพระ ทำให้ต้องเร่งรีบ จึงเกิดความไม่เข้าใจของบุคคลผู้หวังดีที่อยู่ภายนอกคิดว่ามีการทำร้ายกัน จึงวิ่งเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้เหตุการณ์นั้นไม่ติดขัด แม้เสียงของผู้หญิงที่ร้องว่า “อย่าทำพระ ๆๆๆๆๆ” ก็คิดว่าทหารจะทำร้ายพระ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น

อีกประเด็นที่ทำให้แตกต่างคือ มุมกล้องที่ช่างภาพที่ถ่ายภาพคนละจุด จึงทำให้เห็นภาพที่แตกต่างกันออกมาและผู้สื่อข่าวนำเสนอภาพออกมาตามที่เห็น และอาจนำเสนอภาพไม่จบตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเวลาที่เกิดเรื่องก็เพียงน้อยนิดเพียงครู่เดียวแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเข้าใจและเห็นไม่ตรงกัน คิดง่าย ๆ อย่างแค่คนในครอบครัวพ่อแม่ลูก ยังคิดและตัดสินใจในเรื่องเดียวกันเหตุการณ์เดียวกันไม่เหมือนกันเลย

ความจริงคือ ทหารช่วยเหลือพระมาตลอด!!!

ยกตัวอย่าง เช่น การปกป้องดูแลพระใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สงบ ทำให้พระไม่ปลอดภัยเวลาออกบิณฑบาต และคอยปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือวัดต่าง ๆ มาตลอด กว่า 12 ปี มาแล้ว



ทหารช่วยเหลือแจกสิ่งของอุปโภคบริโภคและช่วยเหลือ ยามที่วัดต่าง ๆ และพี่น้องคนไทยเดือดร้อนจากการประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในปี 2554 ที่ผ่านมา

ดังนั้นทหารที่เป็นรั้วของชาติ กับพระสงฆ์ก็จะคุ้นเคยและไม่แปลกแยกคอยช่วยเหลือกันมาตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่ “ พระกับทหารจะทะเลาะกัน “ ดังที่กลุ่มคนบางคนวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินอย่างแน่นอน

แม้สูงสุดคือสถาบันหลักของชาติไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ยังปรากฏเป็นสัญลักษณ์ในแถบสีของธงชาติ  ที่มี 3 สี 5 แถบ ที่มีความหมายที่สูงส่งว่า สีแดง คือ ชาติ สีขาว คือ ศาสนา และสีน้ำเงิน คือพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีธงชาติที่มีความหมายที่ยกย่องเชิดชู 3 สถาบันหลักของประเทศไทย และคนไทยก็ได้อัญเชิญขึ้นสู่ยอดเสาเป็นประจำทุกวันตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบัน และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปตราบนานเท่านาน....

พิณสายกลาง

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ท่านกำลังเอารสนิยมทางการเมือง ไปตัดสินศีลธรรมทางศาสนาอยู่หรือเปล่า???


        ผมฟังข่าว อ่านข่าวเรื่องเกี่ยวกับพระและพระพุทธศาสนาในเวลานี้ ผมเห็นฝักฝ่ายที่มีความคิดตรงข้าม ออกมาให้ความเห็นอย่างเป็นปฏิปักษ์กัน ราวกับเป็นศัตรูกันมายาวนาน พยายามยกอ้างข้อกฎหมาย จริยธรรม พระวินัยของสงฆ์ต่างๆ มากมายเกินกว่าชาวบ้านทั่วไปจะแยกแยะได้ว่า อะไรผิดอะไรถูก เพราะไม่รู้ทั้งเรื่องกฎหมายสงฆ์ และพระวินัยของพระภิกษุ ได้แต่ฟังและอ่านด้วยความห่วงใยบ้านเมืองและพระพุทธศาสนา แล้วใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการเลือกเชื่อว่าใครน่าจะดูมีเครดิตกว่ากัน ระหว่างสองฝ่ายที่ออกมาโต้กันทางสื่อ

         ถ้าไม่นับคนที่มีความรู้ทางศาสนา คนทั่วๆไปที่ไม่มีความรู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นทุนเดิม ถ้าเปรียบก็เหมือนคนตาบอดในเรื่องนี้  ผมเห็นวิธีตัดสินใจเดินต่อในเรื่องนี้ 2 แบบ คือ

         กลุ่มที่ 1 เลือกที่จะพึ่งตนเอง เหมือนคนตาบอดใช้ไม้เท้านำทาง เปรียบกับเรื่องนี้ คือการศึกษาหาความรู้ และเลือกที่จะฟังเสียงรอบข้าง แล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหนดี ผมว่าพวกนี้ไม่ค่อยมีปัญหา

           กลุ่มที่ 2 เลือกที่จะพึ่งคนอื่น เหมือนคนตาบอดยอมให้คนตาดีจูงไป เปรียบกับเรื่องนี้ คือ เลือกดูว่าฝ่ายใดน่าเชื่อถือกว่ากัน ก็จะยอมเดินตามที่เขาพูดมา ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมตามทฤษฎีสังคมวิทยา มีแนวโน้มใช้ตรรกะการเข้าพวกเป็นเกณฑ์การตัดสินใจ เช่น พวกญาตินิยมก็ว่าคนที่เรารู้จักมักคุ้นดูน่าเชื่อถือกว่า พวกภาคนิยมก็ว่าคนบ้านเดียวกับเราดูน่าเชื่อถือกว่า บางคนก็ดูเครดิตทางสังคมเป็นเกณฑ์              และกลุ่มที่เห็นมากที่สุดในเวลานี้คือ เอารสนิยมทางการเมืองเป็นเกณฑ์ตัดสิน คือถ้าพวกสีเดียวกันพูดอะไรถูกหมด ดังนั้นเพื่อสะดวกในการคิดตัดสินใจ คนฝั่งตรงข้ามกับพวกเดียวกัน ก็ถูกเหมาว่าเป็นพวกการเมืองสีที่เป็นปฏิปักษ์กันไปซะเลย ทำนองว่าจะได้โจมตีได้สนิทใจขึ้น เพราะว่าทางเรื่องศีลธรรมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนัก แล้วการโจมตีทางการเมืองไม่จำเป็นต้องกระมิดกระเมี้ยนด้วยจริตทางศีลธรรมใดๆ สะดวกปากดี

            อันที่จริง เรื่องรสนิยมทางการเมือง เป็นคนละเรื่องกับเรื่องศีลธรรมในศาสนาเลยนะ

          การเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนมีกิเลส การตัดสินว่าฟากไหนดีไม่ดี ถูกไม่ถูก หาเกณฑ์แน่นอนไม่ได้ ไม่งั้นจะมีความแนวนิยมทางการเมืองหลายแบบเหรอ มีทั้งประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม เผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราช และอีกหลายแบบพะเรอเกวียนที่เคยมีคนบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งนักรัฐศาสตร์ทั่วโลกยอมรับกันว่า ไม่มีรูปแบบการปกครองใดสมบูรณ์ที่สุด รูปแบบหนึ่งๆ ก็เหมาะกับยุคสมัยที่ต่างกัน แม้วันนี้โลกนิยมประชาธิปไตย แต่ถ้าเอาความสุขโดยรวมของประชาชนเป็นเกณฑ์ เราก็บอกไม่ได้ว่า ประชาธิปไตยในวันนี้ดีกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในอดีต(อ้อ ลืมไป วันนี้ประชาธิปไตยกำลังเพาะเมล็ดอยู่)

              ส่วนเรื่องศีลธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของคนอยากหมดกิเลส และเป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์ตัดสินตายตัว ไม่สนว่าพวกใคร ไม่สนว่าข้างไหนเสียงดังกว่า ไม่สนว่าผู้มีอำนาจสนับสนุนฟากไหน อย่างในสมัยพุทธกาล พระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งเข้าพวกกับพระเทวทัตเป็นกษัตริย์แคว้นมคธที่มีอำนาจมาก สนับสนุนกำลังคนและอาวุธให้เทวทัตตามฆ่าพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่เปลี่ยนหลักการทางศีลธรรม พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพ่อตัวเอง ก็ยังเป็นบาป เป็นอนันตริยกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเช่นเดิม ส่วนพระองค์ก็เสด็จย้ายไปประทับที่แคว้นโกศล จนถึงปลายสมัยพุทธกาล พระเจ้าอชาตศัตรูได้สำนึกในความผิด ก็ไปกราบขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็ได้กระทำการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ จนได้ชื่อว่าเป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น นอกเหนือจากพระเจ้าอโศกมหาราช

           ผลการเลือกข้างทางการเมือง ก็มีแพ้มีชนะแบบโลกๆ ในฐานะชาวบ้าน เมื่อข้างตนชนะก็สะใจ แพ้ก็ห่อเหี่ยวกันไป แต่ก็ไม่ได้ผลประโยชน์หรือโทษอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก ยังจนเหมือนเดิม ยังต้องดิ้นรนทำมาหากินกันต่อไป

            แต่ผลการเลือกข้างทางศีลธรรม มีผิดถูกชัดเจน เข้าข้างผิดก็เป็นบาปอกุศลมีผลวิบากกรรมเป็นทุกข์ทั้งในชาตินี้ชาติหน้า ถ้าเลือกข้างถูกก็เป็นบุญกุศล มีผลวิบากที่เป็นสุขทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป แม้จะมีพวกมาก มีผู้มีอำนาจสนับสนุนถ้าผิดศีลธรรม ก็ผิดอยู่วันยังค่ำ ไม่มีอะไรลบล้างได้ แม้สำนึกได้ในภายหลังก็ไม่อาจพ้นผลวิบากกรรมได้ อย่างพระเทวทัตที่สำนึกได้ในภายหลังก็ยังไปอเวจีมหานรกอยู่ดี แต่อย่างพระเจ้าอชาติศัตรูทำบุญไถ่โทษเป็นการใหญ่ เลยลดหย่อนผ่อนโทษไปแค่นรกขุมบริวารของโลหกุมภีนรก
            เพราะฉะนั้น อย่าเอาเรื่องรสนิยมทางการเมือง มาเป็นเกณฑ์ตัดสินความผิดถูกทางศีลธรรมเลยนะ ไม่คุ้มกับผลที่จะได้เลยครับ

            คนกลุ่มที่ 2 นี้บางคนแม้ตัดสินเลือกเชื่อไปแล้ว แต่ยังมีสติยับยั้ง ไม่พลอยผสมโรงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป แต่ปัญหาคือ บางคนพอตัดสินใจเลือกเชื่อ หรือเลือกข้างได้แล้ว ก็อินจัด พลอยดราม่าผสมโรงไปด้วย อ่านบางคอมเม้นท์แล้วทำใจเฉยๆ ก็ขำในตรรกะทางความคิด ว่า พวกข้ามีคุณธรรมสูงส่งกว่าใคร และต้องถูกต้องเสมอ โดยไม่ได้หยุดคิด แยกแยะว่า เรื่องการเมืองเป็นเรื่องทางโลก แต่เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องทางธรรม




             ทำให้ผมนึกถึง เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง จากคอลัมน์ Market-Think ของคุณสรกล อดุลยานนท์ ในประชาชาติธุรกิจ ให้ข้อคิดในวิธีแก้ปัญหาด้วยสติ โดยหยุด "ดู" ปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วนั่งเงียบๆ "ฟัง" เหตุผลจากใจตัวเอง มีความว่า

เศรษฐีกับพวกไปเที่ยวฟาร์มแห่งหนึ่ง ทุกคนสนุกสนานกับธรรมชาติและกิจกรรมในฟาร์มมาก
จนมาถึงการโชว์ในคอกม้า นอกจากการโชว์ลีลาของม้าแล้ว ทุกคนยังได้ขี่ม้าเล่นอีกด้วย
จบกิจกรรมในคอกม้าด้วยความสนุกสนาน

แต่ขณะที่กำลังจะเดินออก เศรษฐีคนนั้นก็พบว่า "นาฬิกาพก" รุ่นเก่าที่ภรรยาซื้อให้ในวันเกิดหายไป
มันต้องตกอยู่ในคอกม้าอย่างแน่นอน
เขากับเพื่อนช่วยกันกระจายกันเดินหา "นาฬิกา" ทั่วคอกม้า

ระหว่างเดินหาเพื่อนก็พยายามพูดให้กำลังใจเศรษฐีคนนี้
เดินหาเท่าไรก็ไม่พบ

เขาไปแจ้งเจ้าของฟาร์มให้ช่วยเหลือ
เจ้าของก็แสนดี เกณฑ์คนที่ว่างงานอยู่เกือบ 20 คนไปค้นหา
มีทั้งคุณลุงที่ประจำอยู่คอกม้า ผู้หญิงที่ทำความสะอาด และเด็กชายคนหนึ่ง

ทุกคนกระจายกันค้นหา มีการตะโกนบอกกันเป็นระยะๆ ว่า ค้นตรงนั้นแล้วไม่เจอ ให้คนนั้นไปหาตรงนี้
ใช้เวลาค้นหาประมาณ 1 ชั่วโมงก็หา "นาฬิกา" ไม่เจอ

เศรษฐีเริ่มสิ้นหวัง คิดว่าคงต้องสูญเสียนาฬิกาเรือนนี้ไปอย่างแน่นอน
ขณะที่พนักงานของฟาร์มจะเดินจากไป เด็กชายคนนั้นเดินย้อนกลับมาหาเศรษฐีคนนี้อีกครั้ง

"ขอผมลองเข้าไปดูอีกครั้งนะครับ แต่ขอผมเข้าไปคอกม้าคนเดียว"

แม้จะรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเด็กน้อยมีน้ำใจ เขาก็พยักหน้าทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะหาเจอ
พวกเพื่อนๆ ก็บ่นลับหลังว่า พวกเราและคนของฟาร์มตั้งเยอะยังหาไม่ได้

"ไปหาคนเดียวจะเจอได้อย่างไร"

แต่ไม่ถึง 15 นาที เด็กชายคนนี้เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาชูนาฬิกา

"ใช่ เรือนนี้หรือเปล่าครับ"

เศรษฐีดีใจมาก เพราะนั่นคือ "นาฬิกาพก" แสนรักที่เขากำลังค้นหาอยู่
เขากล่าวขอบคุณและให้สินน้ำใจกับเด็กน้อย
แต่ยังคาใจ

"เธอหาเจอได้อย่างไร"

เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง บอกว่า พอเข้าไปข้างในคนเดียว เขาก็เพียงแต่นั่งเงียบๆ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนจุดนั่งไปเรื่อยๆ
"แค่จุดที่ 3 ผมก็ได้ยินเสียงติ๊กต่อก ติ๊กต่อก" เขาเล่า
"ผมแค่เดินตามเสียงนั้นไปก็เจอนาฬิกาเรือนนี้"

ครับ การค้นหานาฬิกาเรือนนี้ทั้ง 2 ครั้ง ทุกคนคุยกันไปหากันไป
ทุกคนพยายามมองหาตัว "นาฬิกา"
ไม่ได้คิดจะฟัง "เสียง" ของนาฬิกา

เสียงพูดคุยกลบเสียงดังของนาฬิกาไปสิ้น
เรื่องเล่าเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการแก้ปัญหาไม่ได้มีเพียงหนทางเดียว

เราสามารถค้นหา "นาฬิกา" ได้ 2 แบบ
จะ "ดู" หรือจะ "ฟัง"

ทุกปัญหาก็เช่นกัน เราจะแก้ปัญหาแบบที่คนส่วนใหญ่ทำ
หรือเราจะมองปัญหาให้ละเอียด มองให้ครบทุกองค์ประกอบ

บางทีการแก้ปัญหาอาจมีหลายหนทาง
และอีกเรื่องหนึ่งที่ "เด็ก" คนนี้สอนเราก็คือ ในภาวะที่ปัญหาหนักหนาสาหัสแบบวันนี้ 
บางครั้งเราต้องนิ่ง ต้องมี "สติ" ทำใจให้สงบ

เมื่อมีสมาธิ จึงจะค้นพบ "ทางออก"
ครับต้องนิ่ง และเงียบเท่านั้น
เราจึงจะได้ยินเสียง "นาฬิกา"

วันนี้ลองหยุดส่งเสียงด่าทอกันสักวัน แล้วลองฟังเสียงของความยุติธรรมในใจเราว่า อะไรคือผิด อะไรคือถูก

การด่าคนอื่น เป็นความดีจริงหรือ การด่าทอกันทำให้ใครเป็นคนดีขึ้น หรือบ้านเมืองดีขึ้นได้หรือเปล่า ถ้าได้จริง ต่อไปนี้เราจะได้ตั้งหน้าตั้งตาด่ากันอย่างจริงจัง

การไม่ยอมฟังกัน ไม่พูดกันก่อนด้วยเหตุผล เอาแต่โพนทะนาว่า เอ็งผิด เอ็งชั่ว เป็นสิ่งดีถูกต้องจริงหรือ



ผมเชื่อว่า ทุกคนมีจิตเดิมแท้ที่สว่างไสว วันนี้ ลองฟังหัวใจตัวเองกันดูนะครับ